พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ มีพระนามเดิมว่า พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ ทรงเป็นพระราชโอรสลำดับที่ 12 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาอ่วม เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2417

ทรงเริ่มการศึกษาขั้นต้นกับพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ต่อมา พ.ศ. 2426 ทรงเข้าศึกษาที่โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ ต่อมาใน พ.ศ. 2428 ได้เสด็จไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ นับเป็นเจ้านายรุ่นแรกที่ได้ไปศึกษาต่างประเทศตามพระราชดำริของรัชกาลที่ 5 เพื่อรับความรู้สมัยใหม่กลับมาพัฒนาบ้านเมือง

หลังสำเร็จการศึกษา พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่ง เช่น องคมนตรี อภิรัฐมนตรี สมุหมนตรี ราชองครักษ์พิเศษ เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ และเป็นเสนาบดีกระทรวงพาณิชย์พระองค์แรก นับเป็นผู้ก่อตั้งกระทรวงพาณิชย์ของประเทศ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ ทรงมีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงการคลังและเศรษฐกิจของประเทศ ได้แก่ ทรงริเริ่มจัดตั้งคลังออมสิน เพื่อให้ราษฎรมีสถานที่ฝากเงินที่ปลอดภัย ช่วยคุ้มครองทรัพย์สินจากการถูกโจรกรรมและภัยพิบัติ อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนรู้จักการออมเงินอย่างเป็นระบบ ซึ่งถือเป็นการวางรากฐานของวินัยทางการเงินในสังคมไทย

นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงปฏิรูประบบงานด้านการพาณิชย์อย่างกว้างขวาง โดยได้จัดตั้งกรมพาณิชย์และสถิติพยากรณ์ ขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อทำหน้าที่วางแผนและกำหนดทิศทางทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างมีข้อมูลรองรับ พร้อมทั้งว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญชาวต่างประเทศที่มีความรู้เฉพาะด้านเข้ามาให้คำปรึกษาและแนะนำการทำงาน เพื่อให้การพัฒนาระบบพาณิชย์ของไทยก้าวทันโลก ในด้านการบริหารราชการ พระองค์ทรงริเริ่มระบบ การสอบเข้ารับราชการ เพื่อให้ได้บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานราชการอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับการคัดเลือกบุคคลเข้าสู่ตำแหน่งราชการ

พระองค์ยังทรงให้ความสำคัญกับการปรับปรุงระบบเศรษฐกิจระดับฐานราก โดยส่งเสริมให้มีการใช้ ระบบการชั่ง ตวง วัดที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้การซื้อขายเป็นไปอย่างยุติธรรม และสนับสนุนให้มีการจัดตั้งสหกรณ์เพื่อช่วยเหลือกันในหมู่ราษฎร ลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ อีกมาตรการที่สำคัญคือการกำหนดให้สุราและฝิ่นเป็นสัมปทานผูกขาดของรัฐ เพื่อให้ภาครัฐสามารถควบคุมการผลิตและการจำหน่าย พร้อมทั้งดำเนินมาตรการเพื่อป้องกันและลดปัญหาการเสพฝิ่นในระยะยาว ในด้านภาษีและการคลัง พระองค์ทรง ปรับปรุงระบบภาษีศุลกากรและภาษีสรรพากร ให้มีความทันสมัยและเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจในช่วงเวลานั้น ถือเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยยกระดับระบบการคลังของประเทศให้มีมาตรฐานทัดเทียมนานาอารยประเทศ

พระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. 2474 สิริพระชนมายุ 57 พรรษา ทรงเป็นที่ยกย่องว่าเป็นนักปฏิรูปสำคัญผู้วางรากฐานงานการคลัง การพาณิชย์ และการบริหารราชการแผ่นดินสมัยใหม่ของประเทศ