บทความนี้เรียบเรียงจากกิจกรรม Museum in Focus เป็นชุดเสวนาที่มิวเซียมสยามตั้งใจพัฒนาขึ้นเพื่อเปิดพื้นที่ให้สาธารณะได้เรียนรู้ “มรดกเมือง” ในมิติที่กว้างและร่วมสมัยกว่าเดิม มรดกเมืองในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเพียงอาคารเก่า ย่านประวัติศาสตร์ หรือแผนที่ในอดีตเท่านั้น แต่รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานและระบบต่าง ๆ ที่หล่อหลอมวิถีชีวิตของผู้คนในเมือง—ตั้งแต่พลังงาน การคมนาคม ระบบราง จนถึงพื้นที่สีเขียวอย่างสวนสาธารณะ ทุกองค์ประกอบล้วนเล่าเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยได้อย่างทรงพลัง
ครั้งแรกของชุดเสวนาจัดขึ้นเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2568 ณ ห้องอเนกประสงค์ มิวเซียมสยาม และการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์การไฟฟ้าไทย ณ การไฟฟ้าวัดเลียบ ภายใต้หัวข้อ “เมื่อแสงไฟเปลี่ยนสังคม” ชวนผู้ร่วมงานสำรวจว่าไฟฟ้าไม่ใช่เพียงเทคโนโลยีที่ทำให้เมืองสว่างขึ้น แต่คือแรงผลักดันที่เปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต วัฒนธรรมเมือง และสำนึกความเป็นสมัยใหม่ของสังคมไทย การพูดถึงไฟฟ้าในครั้งนี้จึงเป็นการอ่านเมืองอีกแบบหนึ่ง กล่าวได้ว่าเป็นการมองว่าพลังงานเป็นส่วนหนึ่งของมรดกเมืองที่ยังทำงานอยู่ และกำลังกำหนดอนาคตของมหานครยุคใหม่เช่นเดียวกัน
ภาพบรรยากาศการเสวนา Museum in Focus ครั้งที่ 1: เมื่อแสงไฟเปลี่ยนสังคม โดยผู้ร่วมเสวนานั่งเรียงจากซ้ายไปขวา ได้แก่ คิรินทร์ ทุมมานนท์, ว่าที่ร้อยตรี กฤษดา คงอยู่, อาจารย์วีระยุทธ ปีสาลี, ตรัสสา มณีโชติ, วทัญญู เทพหัตถี และ ฆัสรา มุกดาวิจิตร (ผู้ดำเนินรายการ) ภาพฉายด้านหลังเป็นภาพอาคาร 1 ในยุคแรกสร้าง ซึ่งเป็นหัวใจของการบูรณะและการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์การไฟฟ้าไทย (MEA SPARK) ในเวลาต่อมา
ที่มาของภาพ: ยุภาพร ธัญวิวัฒน์กุล. (29 พฤศจิกายน 2568). ภาพการเสวนา Museum in Focus ครั้งที่ 1 ณ มิวเซียมสยาม [ภาพถ่ายส่วนบุคคล]. สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (มิวเซียมสยาม).
แสงแรกแห่งสยาม
คุณตรัสสา มณีโชติ ผู้อำนวยการกองกลยุทธ์การสื่อสาร ฝ่ายสื่อสารองค์กร การไฟฟ้านครหลวง เปิดการเสวนาด้วยการพาผู้ฟังย้อนกลับไปยังปี พ.ศ. 2427 เมื่อสยามรู้จักไฟฟ้าเป็นครั้งแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไฟฟ้าถูกนำเข้ามาทดลองใช้ที่กรมทหารหน้าโดยจอมพลเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสงชูโต) ผู้บุกเบิกการติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าและระบบสายไฟเบื้องต้น เหตุการณ์ “แสงสว่างครั้งแรก” นี้สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่ขุนนางและประชาชน จนเมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท ในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ติดตั้งไฟฟ้าในพระบรมมหาราชวัง นับแต่นั้นแสงไฟก็เริ่มส่องสว่างในวังเจ้านายและขยายสู่พื้นที่เมืองทีละน้อย เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สะท้อนความทันสมัยในสังคมไทย
จากการทดลองใช้ไฟฟ้าครั้งแรก สยามเริ่มพัฒนากิจการไฟฟ้าให้เป็นระบบมากขึ้น เมื่อบริษัทจากเดนมาร์กได้รับสัมปทานผลิตกระแสไฟฟ้าสำหรับเดินรถราง และตั้งโรงผลิตไฟฟ้าแบบถาวรที่วัดเลียบ การมีโรงไฟฟ้าที่มั่นคงไม่เพียงทำให้ไฟฟ้าแพร่หลายขึ้น แต่ยังเปลี่ยนรูปแบบการคมนาคม เศรษฐกิจ และการจัดการเมืองในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ต่อมาในปี พ.ศ. 2457 ได้มีการตั้งโรงไฟฟ้าหลวงสามเสนขึ้นอีกแห่ง ก่อนที่ทั้งสองกิจการจะถูกรวมเข้าด้วยกัน จนพัฒนาเป็น “การไฟฟ้ากรุงเทพฯ” และในที่สุดกลายมาเป็นการไฟฟ้านครหลวง (MEA) พื้นฐานสำคัญของโครงสร้างพลังงานในกรุงเทพฯ สมุทรปราการ และนนทบุรีในปัจจุบัน
หลังจากการทดลองใช้ไฟฟ้าในช่วงแรก สยามเริ่มพัฒนากิจการไฟฟ้าให้เป็นระบบมากขึ้น โดยมีบริษัท Siam Electricity Company (บริษัทไฟฟ้าสยาม จำกัด) จากเดนมาร์กเข้ามามีบทบาทสำคัญในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 บริษัทนี้มีผู้บริหารชาวเดนมาร์กอย่าง อาเก เวสเทินฮอลซ์ (Aage Westenholz) และผู้บุกเบิกด้านคมนาคมสมัยใหม่ในสยามอย่าง อันเดรียส ดู เพลซซีส เดอ ริเชอลิเยอ (Andreas du Plessis de Richelieu) ซึ่งเป็นผู้ได้รับสัมปทานเดินรถรางไฟฟ้า และร่วมดำเนินการตั้งโรงผลิตไฟฟ้าแบบถาวรที่วัดเลียบ โรงไฟฟ้าที่มั่นคงแห่งนี้ไม่เพียงทำให้ไฟฟ้าเข้าถึงผู้คนมากขึ้น แต่ยังเปลี่ยนโฉมหน้าการคมนาคม เศรษฐกิจ และวิถีเมืองของกรุงเทพฯ อย่างมีนัยสำคัญ ต่อมาใน พ.ศ. 2457 รัฐได้ตั้งโรงไฟฟ้าหลวงสามเสนขึ้น ก่อนที่ทั้งสองกิจการจะรวมกัน และพัฒนาต่อเนื่องจนกลายเป็นการไฟฟ้านครหลวง (MEA)
คุณตรัสสาเน้นว่าไฟฟ้าไม่ได้เป็นเพียงเทคโนโลยีใหม่ แต่เป็นพลังที่เปลี่ยนวิถีชีวิตและภูมิทัศน์ของกรุงเทพมหานครอย่างลึกซึ้ง แสงไฟทำให้เมืองปลอดภัยขึ้นในยามค่ำคืน เพิ่มระยะเวลาในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เปิดพื้นที่ให้การค้าขายและความบันเทิงเติบโต ขณะเดียวกันการเดินรถรางไฟฟ้าก็ทำให้เมืองเชื่อมต่อกันเป็นระบบ ส่งผลให้ผู้คนเริ่มเคลื่อนย้ายระหว่างย่านได้สะดวกขึ้น ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งคือความตั้งใจของการไฟฟ้านครหลวงในการถ่ายทอดเรื่องไฟฟ้าไทยให้เป็น “เรื่องเล่าของเมือง” มากกว่าเรื่องราวทางวิศวกรรมเพียงด้านเดียว พิพิธภัณฑ์การไฟฟ้าไทย (MEA SPARK) จึงได้รับการออกแบบให้ผู้ชมได้สัมผัสทั้งเรื่องราวและประสบการณ์ของบุคคลผ่าน ความทรงจำ และเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์
ไฟฟ้ากับการก่อรูปชีวิตเมืองสมัยใหม่
อาจารย์วีระยุทธ ปีสาลี อาจารย์สอนวิชาสังคมศึกษา สาขาวิชาศิลปศาสตร์ โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ชวนผู้ฟังมอง “ไฟฟ้า” ไม่เพียงในฐานะเทคโนโลยี แต่ในฐานะพลังที่หล่อหลอมเมืองและประสบการณ์ของผู้คน ลักษณะภูมิทัศน์เมืองที่เปลี่ยนแปลง การใช้ชีวิตยามค่ำคืน วัฒนธรรมการเฉลิมฉลอง รวมถึงโครงสร้างเศรษฐกิจของกรุงเทพฯ ในช่วงเปลี่ยนผ่าน
อาจารย์เริ่มต้นด้วยการฉายภาพการเกิดขึ้นของไฟฟ้าในพื้นที่สำคัญ เช่น ถนนเจริญกรุง ถนนจักรพงษ์ และย่านรอบวัดสุทัศน์ ซึ่งแสงไฟกลายเป็นส่วนหนึ่งของทัศนียภาพเมืองในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ และการคมนาคม เสาไฟฟ้าที่ตั้งเรียงรายไม่ใช่เพียงสาธารณูปโภคใหม่ แต่คือ “สัญลักษณ์ของความศิวิไลซ์” ที่ประกาศว่ากรุงเทพฯ กำลังก้าวเข้าสู่เมืองสมัยใหม่อย่างแท้จริง
จากนั้น อาจารย์ชวนผู้ฟังมอง “ชีวิตยามค่ำคืน” ผ่านหลักฐานร่วมสมัย ทั้งภาพถ่าย บันทึก และงานเขียน ซึ่งสะท้อนว่าความสว่างทำให้วิถีชีวิตในเมืองเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ผู้คนเริ่มเดินถนนตอนกลางคืนมากขึ้น มีกิจกรรมทางสังคมรูปแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้น และพื้นที่ซึ่งเคยเงียบสงบหลังอาทิตย์ตกกลับมีชีวิตชีวาขึ้น ไฟฟ้าจึงเปลี่ยนความสัมพันธ์ของผู้คนกับเมืองทั้งในระดับประสบการณ์และความรู้สึกต่อพื้นที่สาธารณะ
ในอีกด้านหนึ่ง ความสว่างยังเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ “วัฒนธรรมการฉลองในเมือง” เทศกาลและงานรื่นเริงต่าง ๆ ในช่วงทศวรรษ 1930 เช่น งานในราชกรีฑาสโมสร ใช้ไฟประดับเพื่อสร้างสีสันและบรรยากาศที่งดงามยิ่งขึ้น การประดับตกแต่งด้วยไฟจึงไม่ใช่เรื่องของประโยชน์ใช้สอยเท่านั้น แต่เป็นเครื่องมือสร้างอารมณ์ร่วมให้กับผู้คน ทั้งความตื่นตาและความรู้สึกทันสมัยให้กับสังคมเมือง ในช่วงท้าย อาจารย์กล่าวว่าไฟฟ้าทำให้เกิด “ย่านกลางคืน” ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งสำเพ็ง เยาวราช ราชวงศ์ บางรัก บางลำภู และสะพานพุทธ ย่านเหล่านี้กลายเป็นศูนย์กลางการค้า ความบันเทิง และการใช้ชีวิตของผู้คนหลากหลายกลุ่ม เป็นระบบเศรษฐกิจยามค่ำคืนที่ค่อย ๆ ก่อรูปขึ้นบนรากฐานของพลังงานไฟฟ้า ซึ่งทำให้กิจกรรมทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมสามารถเกิดขึ้นได้ และแตกต่างจากเวลาในช่วงวัน
ไฟฟ้าในยุคแห่งความยั่งยืน
ว่าที่ร้อยตรี กฤษดา คงอยู่ วิทยากรระดับ 9 แห่งกองเสริมสร้างทัศนคติด้านการใช้พลังงาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดประเด็นด้วยการเชื่อมโยง “ประวัติศาสตร์ไฟฟ้าไทย” เข้าสู่โลกพลังงานร่วมสมัยอย่างรอบด้าน เขากล่าวว่า หากไฟฟ้าเคยเป็นเครื่องหมายของความศิวิไลซ์ในยุคแรกเริ่ม ทุกวันนี้ไฟฟ้ากลายเป็น โครงสร้างพื้นฐานที่เมืองที่สำคัญยิ่ง การเติบโตของเศรษฐกิจ การคมนาคม เทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงบริการสาธารณะล้วนพึ่งพาระบบพลังงานที่มั่นคงและเสถียร
จากนั้นวิทยากรอธิบายถึงบทบาทของพลังงานไฟฟ้าในชีวิตประจำวันของผู้คนยุคใหม่อย่างเป็นรูปธรรม ตั้งแต่สมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์ ระบบสื่อสาร ไปจนถึงการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า เทคโนโลยีทุกประเภทล้วนต้องพึ่งพาพลังงานไฟฟ้าที่เสถียร เขาชี้ว่า สิ่งที่เปลี่ยนไปไม่ใช่เพียงความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น แต่คือ ลักษณะการพึ่งพาไฟฟ้าของสังคมเมืองที่ซับซ้อนกว่าเดิมมาก เมืองยุคใหม่ดำเนินไปได้เพราะมีพลังงานเป็นรากฐาน แม้ผู้ใช้จำนวนมากอาจไม่ทันได้ตระหนักถึงสิ่งนี้ในชีวิตประจำวัน
ในช่วงท้าย คุณกฤษดาชี้ให้เห็นความท้าทายสำคัญที่สังคมไทยกำลังเผชิญ นั่นคือการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดและสังคมคาร์บอนต่ำ อันเป็นวาระร่วมกันทั้งในระดับประเทศและระดับโลก เขาเน้นว่า โลกพลังงานสมัยใหม่ไม่ใช่เพียงการผลิตไฟฟ้าให้เพียงพออีกต่อไป แต่ต้องพิจารณาควบคู่กันระหว่าง “ความมั่นคงของระบบไฟฟ้า” และ “ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม” ซึ่งจะเป็นโจทย์สำคัญของเมืองในศตวรรษที่ 21 พลังงานจึงไม่ใช่เรื่องของเทคโนโลยีล้วน ๆ แต่เป็นเรื่องที่คำนึงถึงอนาคตของผู้คนและสิ่งแวดล้อมอย่างแนบแน่น
เสวนาช่วงแรกทำให้เราเห็นภาพรวมว่าพลังงานไฟฟ้าไม่เพียงเปลี่ยนภูมิทัศน์ของเมือง แต่เปลี่ยนจังหวะชีวิต วัฒนธรรม และจินตภาพของความศิวิไลซ์ในสังคมไทย คุณตรัสสา มณีโชติปูพื้นด้วยประวัติไฟฟ้าไทยจากแสงแรกในสยาม ส่วนอาจารย์วีระยุทธ ปีสาลีชวนมองว่าความสว่างได้สร้างภูมิทัศน์ใหม่ให้เมืองและวิถีชีวิตกลางคืนเกิดขึ้นและดำเนินไปอย่างไร ขณะที่ว่าที่ร้อยตรี กฤษดา คงอยู่ เชื่อมเรื่องราวเหล่านั้นเข้ากับความท้าทายของพลังงานยุคใหม่ที่เมืองพึ่งพามากขึ้นทุกวัน
เสวนาในช่วงที่สอง ชวนผู้ฟังสำรวจพื้นที่ทางกายภาพที่ทรงคุณค่าประวัติศาสตร์ อาคาร 1 ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นจุดเริ่มต้นของกิจการไฟฟ้าไทย ด้วยคำถามสำคัญว่า สถานที่ที่เป็นทั้งมรดกของเทคโนโลยีและความทรงจำร่วมของเมือง จะได้รับการชุบชีวิตให้เล่าเรื่องประวัติศาสตร์การไฟฟ้าไทยอย่างไรในบริบทปัจจุบัน ส่วนถัดไปกล่าวถึงการบูรณะ “อาคาร 1” ของการไฟฟ้านครหลวง และการทำให้อดีตกลับมามีชีวิตในรูปแบบของพิพิธภัณฑ์ร่วมสมัย
ชุบชีวิตอาคารเก่ากับเรื่องเล่าใหม่
คุณวทัญญู เทพหัตถี กรรมการผู้จัดการบริษัทกุฎาคาร จำกัดและสถาปนิกอนุรักษ์ผู้อนุรักษ์อาคาร 1 ในพื้นที่การไฟฟ้าวัดเลียบ อธิบายว่าอาคารหลังนี้รอดพ้นจากช่วงสงครามครั้งที่ 2 และเป็นหนึ่งในอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กยุคแรกของประเทศ จึงมีคุณค่าทั้งทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรม อย่างไรก็ตาม การบูรณะอาคารให้พร้อมใช้งานเป็นพิพิธภัณฑ์เต็มไปด้วยความท้าทาย ทั้งโครงสร้างที่ทรุดและเอียง หลายส่วนของอาคารไม่เหมาะสมกับมาตรฐานรองรับการใช้งาน และระบบอาคารที่ใช้ไม่สอดคล้องกับข้อกำหนดปัจจุบัน ทำให้การบูรณะต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจ “อดีตของอาคาร” ควบคู่ไปกับความจำเป็นของ “อนาคตการใช้งาน”
ระหว่างการสำรวจ ทีมงานพบร่องรอยสำคัญที่สะท้อนความงามและเรื่องเล่าที่ซ่อนอยู่ เช่น จิตรกรรมฝาผนังบริเวณโถงบันได ซึ่งเป็นหลักฐานที่ช่วยให้คาดได้ว่าช่างชาวอินาเลียนเคยมีส่วนร่วมในงานตกแต่ง แม้จิตรกรรมหลายส่วนเลือนหายไปแล้ว แต่ร่องรอยเหล่านี้ช่วยยืนยันว่าอาคาร 1 ไม่ใช่เพียงโครงสร้างเก่า หากเป็นคลังความทรงจำที่ผสมผสานศิลปะและสถาปัตยกรรมของยุคแรกเริ่มของอาคารสมัยใหม่ ทีมอนุรักษ์จึงต้องรักษาองค์ประกอบเดิมที่มีคุณค่าไว้ให้มากที่สุด โดยเฉพาะลักษณะของผนัง ช่องแสง และวัสดุเก่าที่เล่าอดีตด้วยตัวเองได้อย่างชัดเจน
งานบูรณะครั้งนี้ยังต้องรับมือกับเงื่อนไขด้านโครงสร้างอย่างละเอียดอ่อน คุณวทัญญูอธิบายว่าทีมต้องดีดอาคารขึ้นกว่าหนึ่งเมตรเพื่อแก้ปัญหาการทรุดตัวของอาคาร และป้องกันน้ำท่วมในอนาคต รวมถึงเสริมโครงสร้างเพื่อหยุดการเอียง และการเปิดโถงบันไดที่สร้างขึ้นใหม่ให้สอดคล้องกับการเป็นอาคารสาธารณะ ขณะเดียวกันก็ต้องเพิ่มอาคารส่วนต่อขยายด้านหลัง เพื่อรองรับห้องน้ำ โถงต้อนรับ รวมถึงทางหนีไฟ และระบบอาคารใหม่ นอกจากนี้ การออกแบบส่วนอาคารต่อขยายยังคำนึงถึงทัศนียภาพพระปรางค์วัดเลียบที่เป็นมรดกสำคัญของพื้นที่ เพื่อไม่ให้บดบังสถาปัตยกรรมล้ำค่า การแก้ไขทุกจุดในการออกแบบต้องสมดุลระหว่างความปลอดภัย การใช้งาน และคุณค่าทางวัฒนธรรม
ความท้าทายที่สุด คือการเปลี่ยนให้อาคาร 1 ซึ่งเป็นสำนักงานเก่ากลายเป็นพิพิธภัณฑ์ร่วมสมัยในพื้นที่ที่มีข้อจำกัดมากมาย ห้องที่เคยเป็นพื้นที่ทำงานมีขนาดเล็กและรับน้ำหนักได้น้อย ทีมออกแบบจึงต้องหาวิธีจัดการพื้นที่อย่างประณีต ทั้งรักษาบรรยากาศดั้งเดิมของอาคาร และสร้างพื้นที่ให้ผู้ชมได้เรียนรู้เรื่องราวของไฟฟ้าไปพร้อมกัน งานอนุรักษ์ครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงการซ่อมแซมอาคาร แต่เป็นการฟื้นชีวิตของมรดกไฟฟ้าไทย ให้กลับมาเล่าเรื่องเมืองอีกครั้งในรูปแบบที่ร่วมสมัยและเข้าถึงผู้คนได้มากกว่าเดิม
ออกแบบเรื่องเล่าในอาคารเก่า
สำหรับคุณคิรินทร์ ทุมมานนท์ นักออกแบบนิทรรศการจากบริษัทแปลน โมทิฟ จำกัด งานที่อาคาร 1 ไม่ใช่เพียงการจัดแสดงประวัติไฟฟ้า แต่คือการตีความ “เรื่องเล่า 100 ปี” ให้พอดีกับพื้นที่อาคารเก่าที่มีขนาดจำกัดและข้อจำกัดโครงสร้างมากมาย เขาอธิบายว่าโจทย์สำคัญของโครงการคือการเล่าตั้งแต่ยุคก่อนมีไฟฟ้า จนถึงโลกพลังงานอนาคต การจัดแสดงต่าง ๆ ต้องไม่ปรับเปลี่ยนผนังเดิมของอาคาร และไม่เพิ่มรูปแบบการจัดแสดงที่เกินกำลังของพื้นอาคารในการรองรับน้ำหนัก เรียกได้ว่าต้องเคารพคุณค่าทางสถาปัตยกรรมของอาคารที่บูรณะอย่างละเอียดอ่อน นิทรรศการจึงต้อง “เบา” ทั้งในแง่วัสดุ และเชื่อมโยงประวัติศาสตร์ด้วยเรื่องเล่าที่เหมาะสมกับพื้นที่ที่ปรับเปลี่ยนได้เพียงเล็กน้อย
วิทยากรเริ่มต้นเส้นทางนิทรรศการจากชั้น 3 ซึ่งเล่าภูมิหลังของย่านวัดเลียบก่อนยุคไฟฟ้า จากนั้น ชวนผู้ฟังทำความรู้จักพัฒนาการไฟฟ้าไทยผ่านเหตุการณ์สำคัญ คือการมีไฟฟ้าครั้งแรก การตั้งกิจการไฟฟ้า และการเปลี่ยนแปลงของเมืองที่สว่างไสวด้วยแสงไฟฟ้า คุณคิรินทร์ออกแบบตาม “ลำดับเวลา” ที่ให้ผู้ชมเดินตามเรื่องราวจากอดีตสู่ปัจจุบัน กราฟิกต่าง ๆ โมเดลติดผนัง และมีเดียหลากรูปแบบ ได้รับการออกแบบเพื่อทดแทนการวางวัตถุหนักบนพื้นที่ที่รับน้ำหนักได้อย่างจำกัด นิทรรศการบางห้องถูกออกแบบให้เป็นประสบการณ์เฉพาะ เช่น ห้องที่สะท้อนบรรยากาศย่านกลางคืน เกิดจากพลังของไฟฟ้าที่เข้ามาทำให้เมืองไม่หลับใหล
ความท้าทายในการออกแบบนิทรรศการในอาคารเก่า ยังต้องคำนึงถึงกฎระเบียบด้านความปลอดภัย ห้องบางห้องต้องทำเป็นทางหนีไฟและห้ามใช้วัสดุติดไฟได้ บางพื้นที่ต้องใช้แสงธรรมชาติอย่างระมัดระวังเพราะช่องเปิดเดิมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ คุณคิรินทร์จึงเลือกใช้เทคนิคการออกแบบที่ “เกาะ” ไปกับโครงสร้างเดิมให้มากที่สุด ทั้งการใช้ผนังเป็นจุดรับน้ำหนัก การคงขนาดห้อง และการใช้วัสดุเบาเพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะดั้งเดิมของอาคาร เขามองว่าการออกแบบลักษณะนี้ไม่ใช่ข้อจำกัด แต่เป็นโอกาสที่ทำให้ผู้ชมสัมผัสบรรยากาศของอาคารเก่าได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ในตอนท้าย คุณคิรินทร์สะท้อนว่าการจัดแสดงที่ MEA SPARK คือการทำงานร่วมกันระหว่าง “อาคาร วัตถุ เรื่องเล่า” เขาชี้ว่าวัตถุจัดแสดงจำนวนมากถูกเก็บรักษามายาวนานในสถานที่ต่าง ๆ ของการไฟฟ้านครหลวง ก่อนจะถูกรวบรวมไว้ที่เดียวกัน และนำมาตีความใหม่ในการจัดนิทรรศการครั้งนี้ เขาเสนอว่าพิพิธภัณฑ์ควรมีพื้นที่ให้คนได้ฟังเสียงและประสบการณ์ของผู้เคยเห็นแสงไฟครั้งแรก การออกแบบครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การจัดนิทรรศการในอาคารเก่า แต่คือการทำให้อาคารกลายเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเล่า เรียกได้ว่าเป็นเรื่องเล่าที่เชื่อมประวัติศาสตร์พลังงานเข้ากับชีวิตเมืองอย่างแยกไม่ออก
เสวนา Museum in Focus ครั้งที่ 1 แสดงให้เห็นว่าประวัติศาสตร์ไฟฟ้าไม่ใช่เพียงการพัฒนาเทคโนโลยี แต่คือเรื่องของผู้คน เมือง และความเปลี่ยนแปลงที่สานต่อมาถึงปัจจุบัน คุณตรัสสา มณีโชติ อาจารย์วีระยุทธ ปีสาลี ว่าที่ร้อยตรี กฤษดา คงอยู่ คุณวทัญญู เทพหัตถี และคุณคิรินทร์ ทุมมานนท์ ต่างร่วมกันเปิดมุมมองว่าพลังงานได้หล่อหลอมวิถีชีวิต วัฒนธรรมเมือง และภาพลักษณ์ของความทันสมัยอย่างไร ขณะเดียวกันก็ชี้ให้เห็นความหมายของการสืบสานมรดกไฟฟ้า ทั้งในเชิงเทคโนโลยี การอนุรักษ์อาคาร และการตีความผ่านนิทรรศการร่วมสมัย
หลังจบการเสวนา ผู้เข้าร่วมกิจกรรมยังได้เดินทางต่อไปยัง พิพิธภัณฑ์การไฟฟ้าไทย (MEA SPARK) เพื่อสัมผัสสถานที่จริงที่เป็นทั้งมรดกทางอุตสาหกรรมและพื้นที่เรียนรู้ร่วมสมัย การสำรวจอาคาร 1 ทำให้ผู้ฟังเห็นร่องรอยของประวัติศาสตร์ที่คุณวทัญญูกล่าวถึง พร้อมรับฟังรายละเอียดเพิ่มเติมในกระบวนการบูรณะอาคารและออกแบบนิทรรศการจริงในพื้นที่
กิจกรรมครั้งนี้คือการเรียนรู้ “มรดกเมือง” ตั้งแต่แสงแรกในสยาม ชีวิตกลางคืนของกรุงเทพฯ พลังงานยุคใหม่ ไปจนถึงอาคารที่กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ในฐานะพิพิธภัณฑ์ที่เล่าเรื่องอดีตให้สังคมได้ฟังอย่างมีความหมาย ทำให้ทุกคนเข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น อาคารเก่าสามารถบอกเล่าเรื่องราวของเมืองได้อย่างมีพลัง เมื่อได้รับการดูแลอย่างรอบคอบ และสมดุลระหว่างคุณค่าประวัติศาสตร์กับการเล่าเรื่องอดีตด้วยการจัดแสดงร่วมสมัย
- รายนามผู้ร่วมเสวนา (วิทยากร)
- คุณตรัสสา มณีโชติ — ผู้อำนวยการกองกลยุทธ์การสื่อสาร ฝ่ายสื่อสารองค์กร การไฟฟ้านครหลวง
- อาจารย์วีระยุทธ ปีสาลี — อาจารย์ประจำสาขาศิลปศาสตร์ โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
- ว่าที่ร้อยตรี กฤษดา คงอยู่ — วิทยากรระดับ 9 กองเสริมสร้างทัศนคติด้านการใช้พลังงาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
- คุณวทัญญู เทพหัตถี — กรรมการผู้จัดการ บริษัทกุฎาคาร จำกัด และสถาปนิกอนุรักษ์
- คุณคิรินทร์ ทุมมานนท์ — นักออกแบบนิทรรศการ บริษัทแปลน โมทิฟ จำกัด